กฎหมาย PDPA กำหนดให้นายจ้างสามารถประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้างภายใต้เงื่อนไขบางประการได้ ซึ่งการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลควรมีความยุติธรรมและโปร่งใส และใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้ให้ชัดเจนและตามความจำเป็นเท่านั้น ข้อปฏิบัติที่นายจ้างต้องทำตามกฎหมาย PDPA ที่ควรทำมีดังนี้
องค์กรที่มีที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 สำหรับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้างในองค์กร กฎหมาย PDPA ไม่ได้กล่าวถึงการตรวจสอบข้อมูลหรือภูมิหลังจากบุคคลที่สามก่อนการจ้างงาน เนื่องจากอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงหรือผลกระทบกับองค์กร รวมถึงการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้สมัครงานได้ แต่ PDPA ครอบคลุมถึงการตรวจสอบข้อมูลเอกสารก่อนการจ้างงาน การติดตามกิจกรรมและการปฏิบัติงานของลูกจ้างในแต่ละวันตามปกติ ส่วนใหญ่นายจ้างจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับลูกจ้างของตนเพื่อดำเนินการทางวินัย หรือการปฏิบัติงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน
การที่นายจ้างและลูกจ้างใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน ทำให้ขอบเขตการทำงานขยายออกไปมากกว่าการทำงาน ณ ที่ตั้งขององค์กรในประเทศไทย แม้ว่าที่ตั้งของสำนักงานจะไม่ได้ตั้งอยู่ในประเทศไทย แต่องค์กรจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับลูกจ้าง
PDPA กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ทั้งก่อนและขณะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้าง ดังนี้
ก่อนที่กฎหมาย PDPA จะมีผลบังคับใช้ องค์กรจำนวนมากต้องอาศัยความยินยอมของลูกจ้างในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล และความยินยอมนี้มักเป็นส่วนหนึ่งในสัญญาจ้างงาน อย่างไรก็ตาม PDPA ระบุให้นายจ้างต้องแจ้งวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจนและเท่าที่จำเป็น การให้ความยินยอมจะต้องให้โดยอิสระ ไม่มีข้อผูกมัดหรือเงื่อนไข และมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมได้ อย่างไรก็ตาม สภาพของไม่เท่าเทียมกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง อาจทำให้ลูกจ้างไม่กล้าปฏิเสธที่จะให้ความยินยอมเพราะเกรงว่าจะมีผลร้ายกับตนเนื่องจากการปฏิเสธที่จะให้ความยินยอมแก่นายจ้าง ทำให้ลูกจ้างขาดความเป็นอิสระในการให้ความยินยอม ดังนั้น ในทางปฏิบัติ จึงเป็นเรื่องยากที่นายจ้างจะใช้ฐานความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้าง
ความยินยอม (Consent) เป็นเพียงการประมวลผลข้อมูลของลูกจ้างตามฐานกฎหมายหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนายจ้างสามารถอ้างอิงฐานการประมวลผลข้อมูลตามกฎหมายได้ดังนี้
1. ฐานการปฏิบัติตามสัญญา (Contract)
การจ้างงานในทางปฏิบัติ มักอาศัยฐานการปฏิบัติตามสัญญาเป็นฐานกฎหมายหลัก กล่าวคือ ใช้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้างตามสัญญาจ้างงานซึ่งครอบคลุมทั้ง ข้อมูลที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลบัญชีธนาคารของลูกจ้างซึ่งนายจ้างกำหนดให้จ่ายเงินให้กับลูกจ้างตามที่กฎหมายกำหนด
2. ฐานประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate interest)
เป็นการใช้ฐานประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่เกินความคาดหมายของเจ้าของข้อมูลหรือลูกจ้าง และไม่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของลูกจ้าง เช่น การประเมินผลและการขึ้นเงินเดือนของลูกจ้าง การรวบรวมสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติงานประจำปีโดยไม่ใช้ข้อมูลที่บ่งชี้ตัวตนของเจ้าของข้อมูล การทำสถิติเพื่อพัฒนาคุณภาพบริการ เป็นต้น
3. ฐานหน้าที่ตามกฎหมาย (Legal obligation)
เป็นการประมวลผลข้อมูลที่มีกฎหมายรองรับไว้เป็นการเฉพาะ ตัวอย่างฐานการประมวลผลข้อมูลนี้ เช่น การขอข้อมูลสุขภาพเพื่อให้สิทธิลาป่วย ให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างขณะลาป่วย และให้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล แม้ว่าข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวก็ตาม แต่นายจ้างก็มีสิทธิขอข้อมูลนี้ได้ เนื่องจากนายจ้างปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายแรงงาน และกฎหมายประกันสังคม
4. ฐานประโยชน์สำคัญต่อชีวิต (Vital Interest)
แม้ว่าข้อมูลสุขภาพถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวก็ตาม แต่ก็เป็นข้อยกเว้นให้นายจ้างใช้ฐานการประมวลผลนี้ได้ เช่น ลูกจ้างหมดสติหรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงทำให้ลูกจ้างไม่มีสภาวะที่จะให้ความยินยอมการให้ข้อมูลสุขภาพได้ นายจ้างก็สามารถใช้ฐานการประมวลผลนี้ให้ข้อมูลสุขภาพที่จำเป็นต่อแพทย์เพื่อใช้เป็นประโยชน์กับการรักษาได้อย่างทันท่วงที
5. ฐานภารกิจของรัฐ (Public task) ฐานการประมวลผลนี้มี 2 ลักษณะ กล่าวคือ นายจ้างมีความจำเป็นเพื่อดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น การแจ้งข้อมูลหรือประวัติการเดินทางของลูกจ้างเพื่อป้องกันหรือยับยั้งโรคระบาดร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข หรืออีกกรณีคือ ทั้งนายจ้างและลูกจ้างได้รับอำนาจจากรัฐให้ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะเจาะจง เช่น หน่วยงานเป็นโรงเรียนสอนขับรถเอกชน โดยกรมขนส่งทางบกได้ให้อำนาจให้สามารถจัดสอบและอบรมผู้สมัครสอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ได้
ดังนั้น หากไม่มีฐานกฎหมายใดรองรับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว นายจ้างจึงจำเป็นต้องขอความยินยอม (consent) กับลูกจ้าง
นายจ้างควรปฏิบัติตามขั้นตอนใดบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับ PDPA ? องค์กรควรทบทวนเอกสารของลูกจ้างใหม่และลูกจ้างปัจจุบัน เช่น สัญญาจ้างงาน และความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลของลูกจ้างที่ให้ไว้โดยอิสระ องค์กรควรเปลี่ยนถ้อยคำจากการขอความยินยอมในสัญญา เป็นการใช้ฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตามฐานต่างๆ เช่น ฐานการปฏิบัติตามสัญญาจ้างงาน หรือฐานหน้าที่ตามกฎหมายแรงงาน หรือกฎหมายประกันสังคม สำหรับลูกจ้างปัจจุบัน องค์กรควรแจ้งต่อลูกจ้างว่าจะมีการเปลี่ยนการประมวลผลข้อมูลจากฐานความยินยอมเป็นฐานทางกฎหมายอื่นๆ
ถ้าไม่ปฏิบัติตาม PDPA จะได้รับโทษอะไรบ้าง ? การไม่ปฏิบัติตาม PDPA มีโทษทางแพ่ง ทางอาญาและทางปกครอง โดยความรับผิดทางแพ่ง องค์กรจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือลูกจ้าง แม้ว่าการฝ่าฝืนกฎหมายนั้นจะจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม สำหรับความรับผิดทางอาญา มีโทษสูงถึงจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนความรับผิดทางปกครอง อาจมีโทษปรับสูงถึง 5,000,000 บาท
เพียงคลิก PDPA Pro เพื่อสร้างนโยบายรักษาข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy policy) สำหรับการจัดเก็บและการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้าง หมดกังวลกับ PDPA เพราะเรามีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอยแนะนำทุกข้อสงสัยของคุณ
เว็บไซต์อ้างอิง: https://www.cooleygo.com/gdpr-a-guide-for-employers/ https://www.lexology.com/library/detail.aspx?g=f19963f0-3be2-485c-88d5-dceaece4b446
บริษัท เอ็นเดต้าธอธ จำกัด
7 อาคารซัมเมอร์ พอยท์ ชั้นที่ 2 ซอยสุขุมวิท 69
แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110 ประเทศไทย
โทร: 02-024-5560
sales@ndatathoth.com