ชื่อ-สกุล ที่อยู่ เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ประวัติทางการเงิน ประวัติอาชญากรรม ลายนิ้วมือ ล้วนเป็นสิ่งที่ใช้บ่งบอกตัวบุคคลหรือตัวเจ้าของข้อมูลเหล่านี้ อาจจะเรียกง่ายๆ ว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก็มีสิทธิในข้อมูลของตนเอง โดยกฎหมายก็ให้ความคุ้มครองสิทธินี้ไว้ด้วย
กฎหมายที่ว่านี้คือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA (Personal Data Protection Act) วัตถุประสงค์ก็ตรงตัวตามชื่อ คือเป็นกฎหมายที่มีไว้คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งข้อมูลที่จับต้องได้ เช่น ที่อยู่ บัญชีธนาคาร หรือข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล บัญชีผู้ใช้เว็บไซต์ต่างๆ โดยผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นผู้ขอข้อมูลเพื่อนำไปใช้ หรือเก็บรวบรวม ดังนั้น เมื่อใครก็ตามที่ต้องการจะใช้ข้อมูลที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของ ตามมารยาทแล้วก็ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อน ในทางกฎหมายก็เช่นกัน ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องขอความยินยอม (Consent) จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยแจ้งวัตถุประสงค์ก่อนว่าจะเก็บรวบรวมข้อมูลอะไร และนำข้อมูลนั้นไปใช้เพื่ออะไรบ้าง
ข้อมูลส่วนบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การใช้ฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป
พิจารณาได้จากรูปแบบการดำเนินการ และวัตถุประสงค์การใช้ เก็บรวบรวมหรือเปิดเผยข้อมูลนั้น ซึ่งในแต่ละชุดข้อมูลก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ โดยหลักการตามกฎหมาย PDPA ระบุว่าให้ใช้ฐานความยินยอม (Consent) เป็นฐานหลักในการประมวลผลข้อมูล เนื่องจากเปิดโอกาสให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเลือกจัดการข้อมูลของตนเองได้เต็มที่
ในทางปฏิบัติแล้วผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจไม่สามารถใช้ฐานความยินยอม (Consent) กับการขอใช้หรือเก็บรวบรวมกับข้อมูลทุกประเภทได้ ซึ่งองค์กรแต่ละประเภทย่อมมีความจำเป็นในการอ้างอิงฐานตามกฎหมายแตกต่างกันไปตามลักษณะของธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล โดยกฎหมาย PDPA ยังมีวิธีการประมวลผลตามฐานกฎหมายอื่นที่สามารถปรับใช้ตามบริบทและวัตถุประสงค์ ได้แก่ ฐานสัญญา (Contract), ฐานหน้าที่ตามกฎหมาย (Legal Obligation), ฐานประโยชน์สำคัญต่อชีวิต (Vital Intertest), ฐานภารกิจของรัฐ (Public Task), ฐานประโยชน์อันชอบธรรม (Legitimate Interest), ฐานจดหมายเหตุ วิจัย สถิติ (Scientific or Research) หากวัตถุประสงค์การใช้ เก็บรวบรวมหรือเปิดเผยข้อมูลเข้าตามฐานการประมวลผล 5 ฐานนี้ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลก็ไม่ต้องขอความยินยอม (Consent) จากเจ้าของข้อมูลอีก
ฐานการประมวลผลข้อมูลตามกฎหมาย (Lawful Basis) ของข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปที่ไม่ต้องขอความยินยอม (consent) มีดังนี้
ฐานสัญญา (Contract) จะใช้ได้กับข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปเท่านั้น ฐานนี้เป็นการปฏิบัติตามสัญญาระหว่างผู้ควบคุมข้อมูลกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล สัญญาตามฐานนี้จะทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ ตัวอย่างเช่น สัญญาเปิดบัญชีธนาคารและการให้บริการกับลูกค้าของธนาคาร การสมัครสมาชิกฟิตเนสและการให้บริการด้านการออกกำลังกายกับสมาชิกฟิตเนส การปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายโดยเว็บไซต์ E-commerce เก็บรวบรวมที่อยู่จัดส่งของผู้ซื้อให้กับร้านค้าเพื่อส่งสินค้า
ฐานหน้าที่ตามกฎหมาย (Legal Obligation) เป็นสิ่งที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องปฏิบัติตาม เช่น การให้สิทธิลูกจ้างลาป่วยหรือลาพักผ่อนตามกฎหมายแรงงาน การให้ข้อมูลกับหน่วยงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจตามกฎหมาย การการที่ธนาคารขอสำเนาบัตรประชาชนเพื่อพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้บริการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ฐานประโยชน์สำคัญต่อชีวิต (Vital Interest) โดยจะสามารถใช้ฐานนี้ในการประมวลผลข้อมูลสุขภาพที่เป็นข้อมูลอ่อนไหว (Censitive data) เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ ซึ่งจะใช้ฐานนี้ได้เฉพาะในกรณีที่เจ้าของข้อมูลอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถให้ความยินยอมได้ ตัวอย่างเช่น แพทย์ขอใช้ประวัติการรักษาของเจ้าของข้อมูลจากโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาเจ้าของข้อมูลซึ่งเป็นผู้ป่วย สาธารณสุขจังหวัดขอเก็บข้อมูลการติดเชื้อของประชาชนในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังป้องกันโรคระบาด
ฐานภารกิจของรัฐ (Public Task) เป็นการใช้อำนาจรัฐเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลในฐานนี้มักเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานเอกชนที่มีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เช่น ตำรวจมีอำนาจในการปรับ จับกุมหรือขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีตามกฎหมายอาญา โรงเรียนสอนขับรถยนต์ที่กรมการขนส่งทางบกได้ให้อำนาจให้บริการสอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์
ฐานประโยชน์อันชอบธรรม (Legitimate Interest) เป็นการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือบุคคลภายนอก แต่การดำเนินการนั้นจะต้องไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และเจ้าของข้อมูลก็คาดหมายได้ว่าจะมีการดำเนินการนี้ ตัวอย่างเช่น การประเมินการขึ้นเงินเดือนพนักงาน การรวบรวมสถิติโดยไม่ใช้ข้อมูลที่บ่งชี้ตัวตนของเจ้าของข้อมูล การบันทึกภาพกล้องวงจรปิดในสถานที่สาธารณะ
ฐานจดหมายเหตุ วิจัย สถิติ (Scientific or Research) การปฏิบัติตามฐานนี้อาจต้องอ้างอิงฐานตามกฎหมายอื่นประกอบด้วยว่าจะขอจัดเก็บข้อมูลเพื่อจัดทำเอกสารประวัติศาสตร์ จดหมายเหตุ วิจัย สถิติ ตามวัตถุประสงค์หลักใด เช่น ขอเก็บตามฐานภารกิจของรัฐ (Public Task) ฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย (Legal Obligation) หรืออาจต้องอาศัยการตัดสินใจตามฐานความยินยอม (Consent) กับเจ้าของข้อมูล
เมื่อพิจารณาตามฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของข้อมูลทั่วไปแล้ว หากวัตถุประสงค์การใช้ เก็บรวบรวมหรือเปิดเผยข้อมูลไม่เข้าฐานใดตามที่กล่าวไว้ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องใช้ฐานความยินยอม (Consent) โดยต้องขอให้ชัดเจนว่าขอข้อมูลไปเพื่ออะไร ให้อิสระกับเจ้าของข้อมูลว่าจะให้หรือไม่ให้ความยินยอม การจัดทำ Consent ให้แยกส่วนการขอความยินยอมออกจากส่วนอื่นให้ชัดเจน และให้แจ้งผลกระทบกับเจ้าของข้อมูลด้วย ถ้าการถอนความยินยอมจะกระทบกับการใช้งานในเรื่องนั้นๆ การขอ Consent มักเป็นการขอความยินยอมเพิ่มเติมจากการใช้ข้อมูลตามฐานการประมวลผลหลัก ตัวอย่างเช่น ขอ Consent ให้ลูกค้ารับข่าวสารหรือโปรโมชั่นของผู้ขายทางอีเมล หรือให้ส่ง Direct Marketing ซึ่งเป็นการขอแยกกับข้อมูลตามฐานสัญญาซึ่งลูกค้าได้ทำสัญญาซื้อขายกับเว็บไซต์ไว้
เนื่องจากการขอ Consent เป็นวิธีการที่ให้ความสมัครใจกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล จึงเป็นหน้าที่ขององค์กรในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่จะต้องปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ที่เจ้าของข้อมูลให้ความยินยอมไว้ นอกจากนี้ หากเจ้าของข้อมูลถอนความยินยอมตามฐาน Consent อาจทำให้ต้องหยุดประมวลผลการใช้ข้อมูลนั้นไป จึงนับว่าเป็นความเสี่ยงและเป็นภาระต่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ในทางปฏิบัติ การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป จึงมักใช้ฐานการประมวลผลอื่นเป็นหลัก และใช้ฐานความยินยอม (Consent) เพิ่มเติม ในกรณีที่องค์กรต้องการใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน แต่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น และการขอ Consent ก็จะต้องขอแยกกับการขอใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์หลักให้ชัดเจน
2. การใช้ฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (Sensitive Personal Data)
สำหรับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว เช่น ลายนิ้วมือ ประวัติการรักษา เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial Recognition) จะต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้แต่แรกและต้องขอ consent ทุกครั้ง โดยการขอใช้หรือเก็บรวบรวมข้อมูลจะต้องมีความได้สัดส่วนและจำเป็น กล่าวคือ การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว จะใช้ได้ต่อเมื่อไม่สามารถใช้ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปทดแทนได้ ตัวอย่างเช่น การเก็บข้อมูลลายนิ้วมือของสมาชิกฟิตเนสเพื่อใช้ยืนยันตัวตนสมาชิก อาจเกินความจำเป็นเนื่องจาก ทางฟิตเนสสามารถใช้บัตรสมาชิกในการสแกนเข้าออกฟิตเนสแทนได้
กฎหมาย PDPA ได้ให้ข้อยกเว้นที่ไม่ต้องขอความยินยอม (Consent) ในบางกรณีได้ ตัวอย่างเช่น
สำหรับการประมวลผลข้อมูลทางออนไลน์ก็เช่นกัน ปัจจุบันก็จะต้องมีการขอ Consent เพื่อขอใช้งานตามวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น การยืนยันตัวบุคคลเมื่อเข้าใช้บริการเว็บไซต์ การขอให้ระบบตรวจสอบ location ของผู้ใช้งาน เพื่อจะได้รับบริการขนส่งที่ใกล้เคียงได้สะดวกขึ้น ซึ่งผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลสามารถขอ PDPA consent ได้ผ่านแบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ การขอใช้ Cookie เพื่อเก็บข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ต โดยแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลไปด้วยและต้องแยกส่วนออกจากข้อความอื่นอย่างชัดเจน เข้าถึงได้และเข้าใจได้ ใช้ภาษาที่อ่านง่าย
คลิก Cookie wow เพื่อจัดทำ Cookie consent เพียงไม่กี่นาที
หน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ในการขอความยินยอม (Consent) หลักการขอความยินยอมการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูล จะต้องแจ้งรายละเอียดและวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูล การใช้ หรือเผยแพร่ให้เจ้าของข้อมูลทราบก่อนหรือขณะเก็บรวบรวมข้อมูล เจ้าของข้อมูลมีสิทธิที่จะทราบว่าจะจัดเก็บข้อมูลอะไรบ้าง รวมถึงระยะเวลาการจัดเก็บ สถานที่ และวิธีการติดต่อกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเรามักจะเห็นการแจ้งข้อมูลเหล่านี้ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขก่อนที่ผู้ใช้งานเว็บไซต์จะสมัครสมาชิก หรือตามแบบฟอร์มก่อนเปิดบัญชีธนาคาร ทำแบบฟอร์มในรูปแบบเอกสารให้กรอกและเซ็นรับทราบยินยอม หรือทำ Consent form ขอใช้ข้อมูลโดยให้กรอกข้อมูลและลงนามผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ แจ้งวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจนผ่านทางนโยบายความเป็นส่วนตัว Privacy Policy คลิก PDPA Pro เพื่อสร้าง Privacy Policy ที่ได้มาตรฐาน ควรสร้าง Consent form ให้เจ้าของข้อมูลแสดงเจตนายินยอมอย่างชัดเจน เช่น การติ๊กเลือกช่องที่เขียนว่า “ฉันได้อ่านและยอมรับ” ซึ่งเจ้าของข้อมูลก็ได้ยินยอมให้ใช้ข้อมูลและยอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัวตามวัตถุประสงค์การใช้ที่แจ้งไว้ แจ้งการขอใช้ Cookie ผ่านทาง Cookie consent ที่แสดงในรูปแบบ pop up ตามหน้าเว็บไซต์ เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
ใช้ภาษาอ่านเข้าใจง่าย ข้อความไม่กำกวม แยกส่วน Privacy Policy และ Consent Form ออกจากข้อความอื่นอย่างชัดเจน ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย อาจแจ้งมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ได้รับความยินยอม เพื่อให้เจ้าของข้อมูลเกิดความไว้วางใจ ให้ความยินยอมได้ง่ายมากขึ้น
สร้างวิธีการเพื่อถอนความยินยอม อาจสร้างเป็นแบบฟอร์มให้กรอก ส่งอีเมล หรือปุ่มยกเลิกความยินยอม ควรมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ภาษาอ่านเข้าใจง่าย เข้าถึงได้ง่าย ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่สร้างเงื่อนไขเพื่อถอนความยินยอม
การขอความยินยอม (Consent) ตามกฎหมาย PDPA ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุด เพราะถ้าไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นผู้ดูแลระบบก็ไม่อาจนำข้อมูลนั้นมาใช้ได้ ทั้งนี้ เมื่อได้รับความยินยอมแล้วก็จะต้องใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้ และจะต้องดูแลรักษาข้อมูลนั้นให้ปลอดภัย ป้องกันผู้อื่นละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล ซึ่งหากข้อมูลรั่วไหลออกไปก็อาจนำมาซึ่งความเดือดร้อนรำคาญหรือสร้างความเสียหาย และผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลก็อาจมีความผิดตามกฎหมาย ทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครองได้
บริษัท เอ็นเดต้าธอธ จำกัด
1778 อาคารซัมเมอร์ฮับ ออฟฟิศ, ชั้น 6 ถนนสุขุมวิท แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 ประเทศไทย
โทร: 02-024-5560
sales@ndatathoth.com